โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน
เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอ
หรือเมื่อร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินที่ผลิตออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานาน
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
การวินิจฉัยโรคเบาหวานอาศัยเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
1.มีอาการของระดับกลูโคสสูงในพลาสมา ได้แก่ ปัสสาวะมากดื่มน้ำมาก
รับประทานอาหารได้แต้น้ำหนักลด
ร่วมกับตรวจพบระดับกลูโคสในพลาสมาที่เวลาใดเวลาหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องอดอาหารมีค่า ≥
200 มก/ดล.
2.ระดับกลูโคสในพลาสมาตอนเช้าหลังอดอาหารอย่างน้อย 8(FPG) ชั่งโมง มีค่า ≥
126
มก/ดล.โดยตรวจ 2 ครั้ง ต่างวันกัน
3.ทดสอบความทนต่อกลูโคสโดยตรวจระดับกลูโคสในพลาสมาที่ 2 ชั่วโมง หลังการดื่มสารละลายที่มีกลูโคส 75 กรัม
พบมีค่า ค่า ≥
200 มก/ดล. ใช้สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคเบาหวาน
ปัสสาวะบ่อยและมาก คอแห้ง
กระหายน้ำ หิวบ่อย กินจุ น้ำหนักลด เป็นแผลง่ายแต่หายยาก
และต่อมาเมื่อเกิดการทำลายเส้นประสาทและหลอดเลือดมากขึ้น
ก่อให้เกิดอาการชาตามปลายนิ้วและตาพร่ามัว
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
ที่สำคัญ คือ
1.ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
เช่น กรรมพันธุ์อายุที่เพิ่มขึ้น
2.ปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้
เช่น น้ำหนักเกินและอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ขาดการเกินกำลังกาย
รับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน (รับประทานหวาน/มัน/เค็มเกิน) สูบบุหรี่
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในขนาดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การดูแลกลุ่มเสี่ยงสูงโรคเบาหวาน
1.แนะนำการปฏิบัติตัว
1.1ควบคุมอาหารจำพวกเป็นแป้งน้ำตาล
1.2ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
1.3ประเมินความเสี่ยงเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงซ้ำ 1,3,6
เดือน และ 1 ปี ได้ประเมินพฤติกรรมสุขภาพ
ชั่งน้ำหนัก ดัชนีมวลกาย รอบเอว ตรวจวัดความดันโลหิต และระดับความดันในเลือด
1.4การสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องไปพบแพทย์ เช่น ปัสสาวะบ่อยและมาก กระหายน้ำ
ดื่มน้ำบ่อยๆ หิวบ่อย หรือกินจุ อ่อนเพลีย
2.ติดตามเยี่ยมบ้านเป็นรายกรณีเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในบ้านเพื่อสนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง
ร่วมกันหาสาเหตุของปัญหา และร่วมกันวางแผนเพื่อหาแนวทางแก้ไข
ในกรณีที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
3.บันทึกผลเพื่อการติดตามดูแล
การดูแลกลุ่มป่วยโรคเบาหวาน
การติดตามและการประเมินผลการรักษาผู้ป่วย
ระยะที่ 1 ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ติดตามทุก 1-4
สัปดาห์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค
เพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตนเองได้และติดตามระดับน้ำตาลในเลือด
จนสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมายภายใน 3-6 เดือน
และควรมีการติดตามเยี่ยมบ้านและประเมินสภาพแวดล้อม
ระยะที่ 2
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ติดตามทุก 1-3 เดือน
เพื่อประเมินการควบคุมน้ำตาลและการปฏิบัติตัวตามแผนการรักษาการ รับประทานยา
ผลข้างเคียงของยา ปัญหา อุปสรรค และสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่
คุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจ
การปฏิบัติในการติดตามผู้ป่วย
1.ตรวจวัดความดันโลหิต
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ชั่งน้ำหนัก คำนวณ BMI วัดรอบเอว
2.ประเมินการควบคุมอาหาร
การออกกำลังกาย การรับประทานยา ฉีดยา และการให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง
3.ส่งตรวจ
ไขมันในเลือด ส่งตรวจปัสสาวะ รวมถึงตรวจตาและเท้าอย่างละเอียดอย่างน้อยปีละ1ครั้ง
4.ประเมินภาวะแทรกซ้อน
เพื่อส่งพบแพทย์
4.1
ตา :
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของสายตา เช่น ตามัวลง มองเห็นภาพซ้อน(อาการเหล่านี้เกิดจากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้)เบาหวานชนิดที่
2
ควรได้รับการตรวจตาตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
และตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
4.2
ไต :
สังเกตอาการบวม โดยเฉพาะเท้า และตรวจเพื่อดูโปรตีนในปัสสาวะ
4.3
เท้า : ตรวจอย่างละเอียดบริเวณซอกนิ้วเท้า ฝ่าเท้า รอบเล็บเท้า
เพื่อดูรอยช้ำแผลหรืออาการอักเสบ
5. ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดในสมอง
อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
6. ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
ควรควบคุมความดันโลหิตน้อยกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
และควรควบคุม HbA1C ให้ต่ำกว่า7
7.ประเมินเพิ่มเติมในส่วนของสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในบ้านที่สนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
8. ให้คำปรึกษาในส่วนขาด หาสาเหตุ และวางแผนแก้ไขร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
9.
ย้ำอาการสำคัญที่ต้องไปพบแพทย์ เช่น ชาตามปลายมือ ปลายเท้า ใจสั่น
บวมตามปลายมือ ปลายเท้า ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ หรือมีภาวะ Hypoglycemia/Hyperglycemia
10. บันทึกเพื่อติดตามผลการดูแลรักษากลุ่มป่วย
ภาวะแทรกซ้อนฉับพลันจากโรคเบาหวาน
1.ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
-อาการ ของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่รู้สึกหิวมาก มือสั่น มีเหงื่อออกมาก ตัวเย็น ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว ปวดศีรษะ วิงเวียน มึนงง
หน้ามืดตาลาย ตาพร่ามัว กรณีรุนแรงมากจะมีอาการชักหมดสติ
-วิธีที่จะยืนยันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือการเจาะ DTX
มีค่า < 70 มก./ดล.
แต่ถ้าไม่สามารถเจาะได้ทันทีให้การรักษาอาการภาวะน้ำตาลต่ำไปก่อนโดยการดื่ม น้ำหวาน
น้ำตาล น้ำผลไม้ น้ำอัดลม นมหวานทันที อาการจะดีขึ้นภายใน 5-10 นาที แต่ถ้ามีอาการมาก ไม่ดีขึ้นหรือไม่รู้ สึกตัวต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
2. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาก
-อาการ กระหายน้ำมากปากแห้ง ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะเวลากลางคืน
อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย อาการหายใจหอบเหนื่อย ปวดท้อง อาเจียน เพ้อ สับสน บางครั้งมีชัก
ซึม หมดสติ
-อาการเหล่านี้เป็นอาการที่อันตราย
ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันทีเพื่อให้การรักษา
โรคความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง
คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90
มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ภาวะที่ร่างกายมีระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 120/80
– 139/89 มิลลิเมตรปรอท ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง (Pre Hypretension)
อาการและอาการแสดง
ระยะแรก ส่วนมากไม่มีอาการที่ชัดเจนแต่เมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อยๆ
อาจมีอาการเตือน เช่น ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอยเหนื่อยง่าย อ่อนแรง มึนงง
ใจสั่น วิงเวียน หน้าแดงร้อนวูบวาบเลือดกำเดาออก ตามัวหรือมองเห็นภาพซ้อน ซึมลงเล็กน้อย ถ้าอาการรุนแรงจะทำลายอวัยวะสำคัญ
เช่น หัวใจ สมอง ไต ตา
**สิ่งที่ต้องระวังสังเกตและต้องไปพบแพทย์โดยด่วนที่อาจพบได้ในภาวะความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง
1.ปวดศีรษะ วิงเวียน ตามัว
2.เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว
หอบเหนื่อย หรือหายใจลำบากในตอนกลางคืน
3.มีปัสสาวะน้อยโดยเฉพาะในเวลากลางคืนและปัสสาวะเป็นเลือด
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
อายุตั้งแต่ 35ปีขึ้นไป มี พ่อ แม่ พี่น้อง
เป็นความดันโลหิตสูงพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ รับประทานอาหารเค็มจัด
หวานจัด มันจัด รับประทานผักผลไม้น้อย ไม่ออกกำลังกาย อ้วน/น้ำหนักเกิน
เครียดเรื้อรัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากสม่ำเสมอ หรือ ไขมันในเลือดสูง
เป็นโรคเบาหวาน
การดูแลกลุ่มเสี่ยงสูงโรคความดันโลหิตสูง(Pre
Hypertension)
1.แนะนำการปฏิบัติตัว
1.1งดสูบบุหรี่
1.2การลด/จำกัดอาหารเค็ม เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้
1.3การออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนัก
1.4การควบคุมอารมณ์/การลดความเครียด
1.5การลด ละ เลิก การเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
1.6ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อย
ทุก6เดือน
1.7การสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องไปพบแพทย์
เช่น ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย เหนื่อยง่าย อ่อนแรง มึนงง ใจสั่น วิงเวียน
หน้าแดงร้อนวูบวาบ เลือดกำเดาออก ตามัวหรือมองเห็นภาพซ้อน
2.ติดตามเยี่ยมเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในบ้านที่สนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง
ร่วมกัน
หาสาเหตุของปัญหาและร่วมวางแผนเพื่อหาแนวทางแก้ไขในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิต
ได้ควรติดตามทุก 1,3,6 เดือน และ 1ปี
3.บันทึกเพื่อติดตามผลการดูแล
การดูแลกลุ่มป่วยโรคความดันโลหิตสูง
การติดตามและการประเมินผลการรักษาผู้ป่วย
1.ซักประวัติและสังเกตเพื่อติดตามผลตามแผนการรักษาของแพทย์ในเรื่องของการรักษายาอย่างต่อเนื่อง
และความสามารถในการควบคุมระดับความดันโลหิต รวมทั้งอาการข้างเคียงของยา
2.ซักประวัติและสังเกตในเรื่องพฤติกรรมความเสี่ยง
ซึ่งต้องนำมาประกอบการควบคุมระดับความดันโลหิต ได้แก่ การสูบบุหรี่
การรับประทานอาหารเค็ม/หวาน/มัน การดื่มสุรา การไม่ออกกำลังกายความเครียด
3.ซักประวัติอาการบ่งชี้ของโรคแทรกซ้อนที่จะต้องส่งต่อโดยเร็ว
เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอกแขนขาชาหรืออ่อนแรงชั่วคราวหรือถาวร
ตามัวหรือตาข้างหนึ่งมองไม่เห็นชั่วคราว
ปวดศีรษะ/เวียนศีรษะบวมที่เท้าเวลาบ่ายหรือเย็น ปวดขาเวลาเดินทำให้ต้องพัก
4.ตรวจวัดระดับความดันโลหิตเพื่อประเมินการควบคุมตามแผนการรักษาของแพทย์
5.ประเมินภาวะโรคไตเรื้อรัง
สังเกตอาการบวม ซีด ผิวแห้ง ปัสสาวะออกน้อย สีน้ำตาลปนแดงหรือน้ำตาลเข้ม
6.ประเมินและติดตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะอ้วนลงพุงชั่งน้ำหนัก
และBMI
7.ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วยควรได้รับการตรวจคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
ควรควบคุม HbACให้ต่ำกว่า7
และควบคุมความดันโลหิตน้อยกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
8.ให้คำปรึกษาและวางแผนร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
เพื่อให้มีทัศนคติที่ดีในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กับการรับประทานยาเพื่อการควบคุมระดับความดันโลหิตตามแผนการรักษาของแพทย์
9.ติดตามผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
ผ่านการนัดหมาย อสม.โทรศัพท์ และการเยี่ยมบ้าน
10.ในกรณีเยี่ยมบ้านควรมีการประเมินสภาพแวดล้อมภายใน/ภายนอกบ้าน
ที่มีผลต่อการควบคุม
ระดับความดันโลหิตสูงในผู้ป่วย
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ใน 10
ข้างหน้า
1.ระดับของ
SPB และDBP (ระดับอ่อน คือ SBP
140-159 หรือ DBP90-99 รุนแรงคือ SBP≥180หรือ DBP≥110)
2.ระดับของ pulse
pressure > 90 มม.ปรอท (ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่60ปี)
3.อายุ>55ปี ในเพศชาย หรือ >65ปี ในเพศหญิง
4.สูบบุหรี่
5.ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ
total cholesterol >200มก./ดล.,LDL-C>
130 มก./ดล. และ HDL-C<40
มก./ดล.ในชายHDL-C<50มก./ดล.ในหญิงหรือระดับtriglyceride>150
มก./ดล.
6.Fasting Plasma
Glucose (FPG) 100-125 มก./ดล.
7.Glucose tolerance
test ผิดปกติ
8.ประวัติการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
[Cardiovasculardisease(CVD)] ในบิดา มารดา
หรือพี่น้องก่อนวัยอันสมควร (ในชายเกิดก่อนอายุ 55 ปี
และในหญิงเกิดก่อนอายุ 65 ปี)
9.อ้วนลงพุง เส้นรอบเอว≥90 ในชาย และ ≥80ซม.ในหญิง
โรคแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
1.สายตาเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหลอดเลือดในตาอาจตีบตันหรือแตกทำให้ตาบอดได้
เช่น ตามัว เห็นภาพซ้อน
2.หลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก
อาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตถ้ารักษาไม่ทัน เช่น แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง
ปากเบี้ยวพูดไม่ชัด
3.หลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อขาดเลือดจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
หัวใจล้มเหลว จากการที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องทำงานมากขึ้น เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย
เจ็บหน้าอก
4.ไตพิการ หรือไตอักแสบ เกิดอาการบวม ซีด ผิวแห้ง
โรคหลอดเลือดสมอง
ได้ความรู้เยอะเรยยยย
ตอบลบเนื้อหาดีมีสาระ ได้ประโยชน์
ตอบลบรู้ไว้ดีๆ
ตอบลบเนื้อหามีสาระดี
ตอบลบเป็นเรื่องที่ดีนะ เดียวนี้คนเป็นโรคเบาหวานเยอะมาก
ตอบลบมีประโยชน์ดี
ตอบลบ